เมนู

9. สิริวัฑฒสูตร *



ผู้เจริญสติปัฏฐาน 4 ได้อนาคามิผล


[787] สมัยหนึ่ง ท่านพระอานนท์อยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน กลัน-
ทกนิวาปสถาน ใกล้กรุงราชคฤห์. ก็สมัยนั้น สิริวัฑฒคฤหบดีอาพาธ ได้
รับทุกข์ เป็นไข้หนัก. ครั้งนั้น สิริวัฑฒคฤหบดีเรียกบุรุษคนหนึ่งมาสั่งว่า
มานี่แน่ะ บุรุษผู้เจริญ ท่านจงเข้าไปหาท่านพระอานนท์ถึงที่อยู่ ครั้นแล้ว จง
กราบเท้าทั้งสองของท่านด้วยเศียรเกล้า ตามคำของเราว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
สิริวัฑฒคฤหบดีอาพาธ ได้รับทุกข์ เป็นไข้หนัก เขาขอกราบเท้าทั้งสองข้าง
ท่านพระอานนท์ด้วยเศียรเกล้า ดังนี้ และจงเรียนอย่างนั้นว่า ข้าแต่ท่านผู้
เจริญ ได้โปรดเถิด ขอท่านพระอานนท์จงอาศัยความอนุเคราะห์ เข้าไป
ยังนิเวศน์ของสิริวัฑฒคฤหบดีเถิด. บุรุษนั้นรับคำสิริวัฑฒคฤหบดีแล้ว จึง
เข้าไปหาท่านพระอานนท์ถึงที่อยู่ นมัสการท่านพระอานนท์แล้ว จึงนั่ง ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ครั้นแล้วได้เรียนท่านพระอานนท์ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
สิริวัฑฒคฤหบดีอาพาธ ได้รับทุกข์ เป็นไข้หนัก ท่านขอกราบเท้าทั้งสองของ
ท่านพระอานนท์ด้วยเศียรเกล้า และสั่งให้เรียนอย่างนี้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
ได้โปรดเถิด ขอท่านพระอานนท์จงอาศัยความอนุเคราะห์ เข้าไปยังนิเวศน์ของ
สิริวัฑฒคฤหบดีเถิด. ท่านพระอานนท์รับคำด้วยดุษณีภาพ.
[788] ครั้งนั้น เวลาเช้า ท่านพระอานนท์นุ่งแล้ว ถือบาตรและ
จีวรเข้าไปยังนิเวศน์ของสิริวัฑฒคฤหบดี แล้วนั่งบนอาสนะที่เขาปูถวาย. ครั้น
แล้วได้ถามสิริวัฑฒคฤหบดีว่า
* อรรถกถาว่า มีเนื้อความง่าย

[789] ดูก่อนคฤหบดี ท่านพอจะอดทนได้หรือ พอจะยังอัตภาพ
ให้เป็นไปได้หรือ ทุกขเวทนาย่อมคลายลงไม่กำเริบขึ้นหรือ ความทุเลาปรากฏ
ความกำเริบไม่ปรากฏหรือ. สิริวัฑฒคฤหบดีตอบว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ กระผม
อดทนไม่ได้ ยังอัตภาพให้เป็นไปไม่ได้ ทุกขเวทนาของกระผมกำเริบหนัก
ไม่เสื่อมคลายไปเลย ความกำเริบปรากฏอยู่ ความทุเลาไม่ปรากฏ.
[790] อา. ดูก่อนคฤหบดี เพราะเหตุนั้นและ ท่านพึงศึกษาอย่าง
นี้ว่า เราจักพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ
กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย. จักพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ . . .
จักพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่.. . จักพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร
มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย. ดูก่อนคฤหบดี
ท่านพึงศึกษาอย่างนั้นแล.
[791] สิ. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ธรรมคือสติปัฏฐาน 4 เหล่าใดที่
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว ธรรมเหล่านั้นมีอยู่ในกระผม และกระผม
ย่อมเห็นชัดในธรรมเหล่านั้น. ก็กระผมย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความ
เพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย. ย่อม
พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ... ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ... ย่อม
พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌา
และโทมนัสในโลกเสีย.
[792] ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็สังโยชน์อันเป็นส่วนเบื้องต่ำ 5 เหล่า
ใดที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ กระผมยังไม่แลเห็นสังโยชน์ข้อใดข้อหนึ่ง
ที่ยังละไม่ได้แล้วในตน.
อา. ดูก่อนคฤหบดี เป็นลาภของท่าน ท่านได้ดีแล้ว อนาคามิผลอัน
ท่านกระทำให้แจ้งแล้ว.
จบสิริวัฑฒสูตรที่ 9

10. มานทินนสูตร *



ผู้เจริญสติปัฏฐาน 4 ได้อนาคามิผล


[793] นิทานต้นสูตรเหมือนกัน. ก็สมัยนั้น มานทินนคฤหบดี
อาพาธ ได้รับทุกข์ เป็นไข้หนัก ครั้งนั้น มานทินนคฤหบดีเรียกบุรุษคนหนึ่ง
มาสั่งว่า มานี่แน่ะ บุรุษผู้เจริญ ท่านจงเข้าไปหาพระอานนท์ถึงที่อยู่ ครั้น
แล้ว จงกราบเท้าทั้งสองของท่านด้วยเศียรเกล้า ตามคำของเราว่า ข้าแต่ท่าน
ผู้เจริญ มานทินนคฤหบดีอาพาธ ได้รับทุกข์ เป็นไข้หนัก เขาขอกราบเท้า
ทั้งสองของท่านพระอานนท์ด้วยเศียรเกล้า ดังนี้ และจงเรียนอย่างนี้ว่า ข้า
แต่ท่านผู้เจริญ ได้โปรดเถิด ขอท่านพระอานนท์จงอาศัยความอนุเคราะห์
เข้าไปยังนิเวศน์ของมานทินนคฤหบดีเถิด. บุรุษนั้นรับคำมานทินนคฤหบดี
แล้ว เข้าไปหาพระอานนท์ถึงที่อยู่ นมัสการท่านพระอานนท์แล้ว จึงนั่ง ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ครั้นแล้วได้เรียนท่านพระอานนท์ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
มานทินนคฤหบดีอาพาธ ได้รับทุกข์ เป็นไข้หนัก ท่านขอกราบเท้าทั้งสองของ
ท่านพระอานนท์ด้วยเศียรเกล้า และสั่งให้เรียนอย่างนั้นว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
ได้โปรดเถิด ขอท่านพระอานนท์อาศัยความอนุเคราะห์ เข้าไปยังนิเวศน์ของ
มานทินนคฤหบดีเถิด. ท่านพระอานนท์รับคำด้วยดุษณีภาพ. ครั้งนั้น เวลา
เช้า ท่านพระอานนท์นุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปยังนิเวศน์ของมานทินน-
คฤหบดี แล้วนั่งบนอาสนะที่เขาปูถวาย. ครั้นแล้วได้ถามมานทินนคฤหบดีว่า
ดูก่อนคฤหบดี ท่านพอจะอดทนได้หรือ พอจะยังอัตภาพให้เป็นไปได้หรือ
ทุกขเวทนาย่อมคลายลงไม่กำเริบขึ้นหรือ ความทุเลาปรากฏ ความกำเริบไม่
* อรรถกถาว่า มีเนื้อความง่าย